วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทัศนศิลป์

ใบความรู้ที่ 1
เรื่องทัศนศิลป์ ( Visual Art )
ศิลปะ และความเข้าใจ
ศิลปะ หมายถึง สิ่งที่สวยงาม เกิดความบันเทิงเมื่อพบเห็น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ ศิลปะ ตามความเข้าใจของศิลปินผู้สร้างสรรค์งาน หมายถึง ศิลปะที่สื่อความหมาย
ดังนั้น สรุปได้ว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะศิลปะมีการถ่ายทอดแตกต่างกัน ตามความคิดสร้างสรรค์และความถนัดของบุคคล แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้คือ
1) แบบเหมือนของจริง (Realistic Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดการเลียนแบบธรรมชาติ
2) แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ (Modulation Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอด และปรับแต่งให้สวยงาม
3) รูปแบบอิสระ ( Free Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดศิลปะไร้รูปลักษณ์ ซึ่งการรับรู้เรื่องราวของศิลปะประเภทนี้ ต้องดูที่ชื่อภาพ ความงามของสี การจัดองค์ประกอบ จังหวะ ลีลาของเส้น เป็นต้น

วัสดุ และการสร้างงานศิลปะ
1) สีอะครีลิค ( Acrylic Color) สามารถเขียนแบบสีน้ำมันหรือสีน้ำได้ ราคาแพงแต่มีคุณภาพดี สี
สดใส
2) สีจากโมเสก (Mosaic) เป็นสีจากหินขนาดเล็กเรียงเป็นภาพ ดัดแปลงรูปเหลี่ยมชิ้นเล็กๆ ใช้
ประดับฝาผนัง
3) ดินสอสีระบายน้ำ ระบายแบบดินสอสี สามารถใช้น้ำตามลงไป ทำให้สีเรียบแบบสีน้ำ
ประเภทของศิลปะ
ผลงานศิลปะที่ปรากฏอยู่ตราบจนทุกวันนี้ มีมากมายหลายประเภท นักวิชาการศิลปะแบ่งศิลปะ
ออกเป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ วิจิตรศิลป์ (Fine art) และประยุกต์ศิลป์ (Applied art)
1. วิจิตรศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยสติปัญญา ความรู้สึกอันประณีตละเอียด
อ่อน โดยมุ่งให้เกิดความรู้สึก มีจินตนาการ สร้างเสริมสติปัญญามากกว่าประโยชน์ใช้สอย ผลงานประเภทวิจิตรศิลป์นี้จะให้คุณค่าทางด้านสุนทรียะที่สะเทือนอารมณ์แก่ผู้ชมหรือผู้ที่ได้สัมผัสรับรู้ ผลงานวิจิตรศิลป์สามารถจำแนกออกได้เป็น 5 แขนง คือ
1. จิตรกรรม ( Painting)
2. ประติมากรรม (Scuipture)
3. สถาปัตยกรรม (Architecture)
4. วรรณกรรม (Literature)
5. ดนตรีและนาฏศิลป์ ( Music & Drama)
ศิลปะประเภท วิจิตรศิลป์ทั้ง 5 ที่กล่าวมายังแบ่งออกเป็นสาขาใหญ่ๆ ได้ 2 สาขา
ทัศนศิลป์ (Visual art) ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม
จินตศิลป์ (Imaginative art) ได้แก่ วรรณกรรม ดนตรี และนาฏศิลป์
2. ประยุกต์ศิลป์ หมายถึง การนำศิลปะไปประยุกต์สร้างสรรค์ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นงานศิลปะที่มุ่งประโยชน์ใช้สอย แต่ยังคงค่าทางความงามอยู่ผลงานประเภทประยุกต์ศิลป์ได้แก่ หัตถศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พานิชยศิลป์ มัณฑนศิลป์ นิเทศศิลป์ เคหะศิลป์ ประณีตศิลป์ เป็นต้น
จากที่กล่าวมา จะเห็นว่าผลงานศิลปะทั้งวิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ ล้วนแต่เป็นผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ของมนุษย์ คิดค้นปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ชีวิตมีสุทรียะ ตลอดจนสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของสังคม

1. ศิลปะกับชีวิตประจำวัน
ศิลปะเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยมนุษย์ และเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งปรุงแต่งอารมณ์ที่เป็นที่ยอม
รับของสังคม สรุปโดยรวมได้ดังนี้ คือ
1) ศิลปะบอกอารมณ์ความรู้ที่งดงามของมนุษย์
2) ศิลปะแต่งความคิดให้มีคุณค่าและได้รับการยอมรับ
3) ศิลปะช่วยให้วัตถุ เครื่องใช้ เครื่องบริโภค น่าชม น่าใช้ และน่าบริโภค
4) ศิลปะเพื่อตกแต่งร่างกายของมนุษย์
5) ศิลปะใช้ตกแต่งสภาพแวดล้อม
2. คุณค่าทางภูมิปัญญาไทย
ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวันคุณค่าใช้สอยเป็นอันดับแรก และรองลง
มา คือ คุณค่าทางความงาม ดังนั้น ศิลปะจึงเป็นภูมิปัญญาที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ศิลปะพื้นเมือง จึงหมายถึง สิ่งที่ชาวชนบทสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รูปทรงเรียบง่าย สวยงามตามลักษณะท้องถิ่น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดศิลปะพื้นบ้าน
1) ฐานะทางเศรษฐกิจยากจนไม่มีเงินซื้อเครื่องจักรกลมาใช้ จึงใช้ทรัพยากรธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงาน
2) ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ส่วนใหญ่เกิดจากการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
3) การแสดงออกด้วยความงาม
ช่างที่สร้างงานศิลปะพื้นบ้าน
1) ช่างฝีมือ หมายถึง ช่างหัตถกรรมต่างๆ ทำสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
2) ช่างศิลป์ หมายถึง ช่างทอผ้า ช่างปั้น ช่างหล่อ เครื่องถม เครื่องเขิน ฯ


ประเภทของศิลปะพื้นบ้าน
1) แบ่งตามวัสดุ (งานไม้ / งานโลหะ / งานผ้า)
2) แบ่งตามวิธีการสร้าง (จักสาน / การปั้นดินเผา)
3) แบ่งประเภทประโยชน์ใช้สอย (ใส่ของ จับหรือดักสัตว์สัตว์ อาวุธ การแต่งกาย เครื่องเรือน ปูลาด ของเล่น)
ลักษณะศิลปะพื้นบ้าน
1) สร้างขึ้นเองในท้องถิ่น
2) ใช้วัสดุธรรมชาติ หาง่ายในท้องถิ่น
3) ทำด้วยมือ กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน
คุณค่าศิลปะพื้นบ้าน
1) งานศิลปะพื้นบ้านแสดงถึงภูมิปัญญาไทยระดับท้องถิ่น
2) ศิลปะสามารถผลิตเป็นสื่อวัสดุเกิดประโยชน์ในวิถีชีวิต
3) เป็นหลักฐานทางวิชาการ
4) เป็นมรดกของชาติไทย
6. คุณค่าทางศิลปะ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
6.1 คุณค่าทางเรื่องราว
2.2 คุณค่าทางรูปทรง
6.1 คุณค่าทางเรื่องราว หมายถึง คติความเชื่อ ความหมายที่แฝงอยุ่ในผลงานศิลปะเป็นการบอ
เล่าเนื้อหาและสาระสำคัญที่นักสร้างงานศิลปะ ต้องการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในแง่ ต่าง ๆของศิลปกรรมนั้น ๆ คุณค่าทางเรื่องราวทางทัศนศิลปะสรุปได้ดังนี้ คือ
- เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา
- เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
- เรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
- เรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี
- เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคน
2.3 คุณค่าทางรูปทรง หมายถึง เกณฑ์ความงดงามที่มีอยู่ในศิลปะ เป็นการประสานกันของ
องค์ประกอบทางความงามที่สามารุรับรู้ได้ด้วยสายตาที่ผู้สร้างผลงานศิลปะ จินตนาการ และออกแบบขึ้นด้วยความชำนาญ ส่วนประกอบที่ทำให้เกิดความงามของทัศนศิลป์ (ทัศนธาตุ) มี 6 ประการ คือ
2.3.1 เส้น (Line)
2.3.2 รูปร่าง รูปทรง ( Shape & Form)
2.3.3 จังหวะและช่องไฟ ( Phythm & Space)
2.3.4 น้ำหนัก ( Tone )
2.3.5 สี ( Color )
2.3.6 พื้นผิว ( Texture)
6.21.เส้น (Line) หมายถึง การต่อกันของจุดที่นำไปใช้ในการแสดงของเขตและส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ในภาพ ประกอบด้วย เส้นตั้ง เส้นนอน เส้นเฉียง เส้นโค้ง เส้นหยัก เส้นขด เส้นแต่ละชนิดจะให้ความรู้สึก การรับรู้ต่างกัน
6.2.2 รูปร่าง รูปทรง ( Shape & Form)
- รูปร่าง หมายถึง การต่อกันของเส้นตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป และสิ่งที่แสดงขอบเขตรอบนอกของวัตถุ สิ่งของต่างๆ มีลักษณะเป็น 2 มิติ แสดงความกว้างและความยาว รูปร่างมักรวมอยู่กับรูปทรง และเรียกควบคู่กัน
- รูปทรง หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะ 3 มิติ แสดงความกว้าง ความยาว และความหนาในทางศิลปะมีความหมายรวมไปถึงความหนาอันเกิดจากแสง – เงา และน้ำหนักสีบนผิวหน้าของงานจิตรกรรมด้วย
6.2.3 จังหวะและช่องไฟ ( Phythm & Space) หมายถึง ความเหมาะสมกลมกลืนในการจัดวางรูปและพื้นผิว
6.2.4 น้ำหนัก (Tone) มายถึง ความเข้มของสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ และไกล โดยปกติน้ำหนักของสีจะเทียบเป็นสีขาว – ดำ น้ำหนัก น้อยสุดจะเป็นสีขาว แล้วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เป็น 7 ระยะจึงเป็นดำซึ่งเป็นที่สุด
6.2.5 สี (Color ) หมายถึง ความเข้มที่ปรากฏแก่ตา ในทางวัตถุสีมีลักษณะเป็นสสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถทา ระบาย ย้อม ฉาบ เปลี่ยนสีผิวหน้าวัตถุให้เป็นอย่างใหม่ได้
6.2.6 พื้นผิว ( Texture) หมายถึง พื้นนอกของวัตถุ สิ่งของที่แสดงความขรุขระทางการมองเห็น
การชื่นชมความงามของทัศนศิลป์ทางด้านรูปแบบ จึงจำเป็นต้องมองจากส่วนประกอบทั้ง 6 ประกอบ ในทำนองกลับกัน หากต้องสร้างผลงานทัศนศิลป์ จำเป็นต้องนำส่วนประกอบทั้ง 6 นี้ มาออกแบบเข้ากันด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น