สมัยกลาง (The Middle Ages)ดนตรีในสมัยกลางเป็นสิ่งที่ยากที่จะศึกษาเนื่องจากว่าดนตรีเหล่านั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว เสียงตามท้องถนนของพ่อค้าเร่ เสียงร้องเพลงจากทุ่งหญ้าของกรรมกรผู้ใช้แรงงาน การเต้นรำในงานรื่นเริงต่าง ๆ การแสดงดนตรีบนเวที และแม้แต่บทเพลงจากกวีในภาคใต้ของฝรั่งเศส (ในศตวรรษที่ 11-13) ล้วนแล้วแต่มีอายุสั้น แม้แต่ดนตรีที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นเพียงแฟชั่นเท่านั้น ซึ่งเหลือทิ้งไว้แต่คำถามที่ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด ของมัน
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สมัยกลาง
สมัยกลาง (The Middle Ages)ดนตรีในสมัยกลางเป็นสิ่งที่ยากที่จะศึกษาเนื่องจากว่าดนตรีเหล่านั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว เสียงตามท้องถนนของพ่อค้าเร่ เสียงร้องเพลงจากทุ่งหญ้าของกรรมกรผู้ใช้แรงงาน การเต้นรำในงานรื่นเริงต่าง ๆ การแสดงดนตรีบนเวที และแม้แต่บทเพลงจากกวีในภาคใต้ของฝรั่งเศส (ในศตวรรษที่ 11-13) ล้วนแล้วแต่มีอายุสั้น แม้แต่ดนตรีที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นเพียงแฟชั่นเท่านั้น ซึ่งเหลือทิ้งไว้แต่คำถามที่ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด ของมัน
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
สมัยกลาง
สมัยกลาง (The Middle Ages)ดนตรีในสมัยกลางเป็นสิ่งที่ยากที่จะศึกษาเนื่องจากว่าดนตรีเหล่านั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว เสียงตามท้องถนนของพ่อค้าเร่ เสียงร้องเพลงจากทุ่งหญ้าของกรรมกรผู้ใช้แรงงาน การเต้นรำในงานรื่นเริงต่าง ๆ การแสดงดนตรีบนเวที และแม้แต่บทเพลงจากกวีในภาคใต้ของฝรั่งเศส (ในศตวรรษที่ 11-13) ล้วนแล้วแต่มีอายุสั้น แม้แต่ดนตรีที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นเพียงแฟชั่นเท่านั้น ซึ่งเหลือทิ้งไว้แต่คำถามที่ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด ของมัน
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
สมัยกลาง
สมัยกลาง (The Middle Ages)ดนตรีในสมัยกลางเป็นสิ่งที่ยากที่จะศึกษาเนื่องจากว่าดนตรีเหล่านั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว เสียงตามท้องถนนของพ่อค้าเร่ เสียงร้องเพลงจากทุ่งหญ้าของกรรมกรผู้ใช้แรงงาน การเต้นรำในงานรื่นเริงต่าง ๆ การแสดงดนตรีบนเวที และแม้แต่บทเพลงจากกวีในภาคใต้ของฝรั่งเศส (ในศตวรรษที่ 11-13) ล้วนแล้วแต่มีอายุสั้น แม้แต่ดนตรีที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นเพียงแฟชั่นเท่านั้น ซึ่งเหลือทิ้งไว้แต่คำถามที่ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับแหล่งกำเนิด ของมัน
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
ประมาณ ค.ศ. 500 วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนจากยุคมืด (The Dark Ages) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มของ แวนดัล (Vandals, Huns) และ วิซิกอธ (Visigoths) เข้าไปทั่วยุโรป และนำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิโรมัน เป็นเวลา 10 ศตวรรษต่อมาสมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้
หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่า สนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
ศิลปะตะวันตก
ศิลปะตะวันตก
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ศิลปะก่อนประวัติศาสตร์ คืองานศิลปะที่ได้เริ่มทำก่อนกันมาก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการบันทึกเรื่องราวที่เรียกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยนับตั้งแต่ ยุคหินเก่าตอนปลาย ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 15,000-10,000 มานั้น มนุษย์ได้เขียนภาพสี และขูดขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่าสัตว์และภาพลวดลายเรขาคณิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวัน และแสดงความสามารถในการล่าสัตว์
ภาพเหล่านี้มักระบายด้วยถ่านไม้ และสีที่ผสมกับไขมันสัตว์ พบได้ทั่วไปในประเทศฝรั่งเศสและภาคเหนือของสเปน ที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ ถ้ำลาสโกซ์ ในฝรั่งเศส ถ้ำอัลตามิรา ในสเปน งานศิลปะในยุคเก่าไม่มีเพียงแต่การเขียนภาพเท่านั้น ยังมีการปั้นรูปด้วยดินเหนียว หรือแกะสลักบนกระดูก เขาสัตว์ และงาช้าง
เรื่องราวที่นิยมทำกันได้แก่เรื่อง การล่าสัตว์ หรือบางก็มีรูปคน เป็นรูปสตรี ซึ่งอาจมีความหมายถึงการให้กำเนิดเป็นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับชนเผ่า
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ศิลปะก่อนประวัติศาสตร์ คืองานศิลปะที่ได้เริ่มทำก่อนกันมาก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการบันทึกเรื่องราวที่เรียกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยนับตั้งแต่ ยุคหินเก่าตอนปลาย ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 15,000-10,000 มานั้น มนุษย์ได้เขียนภาพสี และขูดขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่าสัตว์และภาพลวดลายเรขาคณิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงออกเกี่ยวกับวิถีชีวิตประจำวัน และแสดงความสามารถในการล่าสัตว์
ภาพเหล่านี้มักระบายด้วยถ่านไม้ และสีที่ผสมกับไขมันสัตว์ พบได้ทั่วไปในประเทศฝรั่งเศสและภาคเหนือของสเปน ที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ ถ้ำลาสโกซ์ ในฝรั่งเศส ถ้ำอัลตามิรา ในสเปน งานศิลปะในยุคเก่าไม่มีเพียงแต่การเขียนภาพเท่านั้น ยังมีการปั้นรูปด้วยดินเหนียว หรือแกะสลักบนกระดูก เขาสัตว์ และงาช้าง
เรื่องราวที่นิยมทำกันได้แก่เรื่อง การล่าสัตว์ หรือบางก็มีรูปคน เป็นรูปสตรี ซึ่งอาจมีความหมายถึงการให้กำเนิดเป็นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับชนเผ่า
ศิลปะตะวันออก
ศิลปะตะวันออก
ได้แก่ ลักษณะของศิลปะที่แสดงคุณลักษณะเฉพาะอย่างของรูปแบบ ศิลปะจะแสดงออกทางอิทธิพลทางภูมิอากาศ ขนบประเพณี รูปแบบของศิลปะตะวันออกจะเด่นชัดทางอิทธิพลทางศาสนา เช่น งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนประยุกต์ศิลป์ งานประณีตศิลป์และงานหัตถกรรม ซึ่งมีส่วนในการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของชาวตะวันออกตามพื้นเพเดิมของการดำรงชีวิต ชาวตะวันออก คือ มนุษย์ที่อยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออก ตั้งแต่ตะวันออกกลางจนถึงตะวันออกไกล โดยมีรูปร่างทางร่างกายและวัฒนธรรมเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปด้วย การนับถือศาสนาก็มีอิสระต่อกัน ประกอบด้วย ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ลัทธิเต๋า และศาสนาคริสต์ เป็นต้น สภาพความเป็นอยู่จะเป็นไปตามลักษณะของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ลักษณะบ้านเรือน เครื่องแต่งกายและสิ่งของเครื่องใช้เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์ศิลปะจึงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง ศิลปะในประเทศตะวันตกนั้น มีโอกาสที่จะเป็นลักษณะเดียวกันในบางยุคบางสมัย เพราะมีความนิยมร่วมกัน แต่ในประเทศตะวันออกนั้น ล้วนมีเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเองมาแต่ยุคโบราณ และต่างก็สืบต่อลักษณะทางศิลปะกันลงมาไม่ขาดสายจึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าชาวตะวันออกซึ่งประกอบด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ นั้น มีความเคารพนับถือในขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองยิ่งกว่าชีวิต ทำให้ศิลปะของชาวตะวันออกมีลักษณะรูปแบบตนเอง “ ศิลปะประจำชาติ ” เด่นชัด และไม่ถือเอาความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นสำคัญ จึงสร้างสรรค์ศิลปะให้บังเกิดความงามที่เหนือขึ้นไปจากธรรมชาติตามรสนิยมและความรู้สึกของตน
ได้แก่ ลักษณะของศิลปะที่แสดงคุณลักษณะเฉพาะอย่างของรูปแบบ ศิลปะจะแสดงออกทางอิทธิพลทางภูมิอากาศ ขนบประเพณี รูปแบบของศิลปะตะวันออกจะเด่นชัดทางอิทธิพลทางศาสนา เช่น งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนประยุกต์ศิลป์ งานประณีตศิลป์และงานหัตถกรรม ซึ่งมีส่วนในการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของชาวตะวันออกตามพื้นเพเดิมของการดำรงชีวิต ชาวตะวันออก คือ มนุษย์ที่อยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออก ตั้งแต่ตะวันออกกลางจนถึงตะวันออกไกล โดยมีรูปร่างทางร่างกายและวัฒนธรรมเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปด้วย การนับถือศาสนาก็มีอิสระต่อกัน ประกอบด้วย ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ลัทธิเต๋า และศาสนาคริสต์ เป็นต้น สภาพความเป็นอยู่จะเป็นไปตามลักษณะของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ลักษณะบ้านเรือน เครื่องแต่งกายและสิ่งของเครื่องใช้เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์ศิลปะจึงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง ศิลปะในประเทศตะวันตกนั้น มีโอกาสที่จะเป็นลักษณะเดียวกันในบางยุคบางสมัย เพราะมีความนิยมร่วมกัน แต่ในประเทศตะวันออกนั้น ล้วนมีเอกลักษณ์ประจำชาติของตนเองมาแต่ยุคโบราณ และต่างก็สืบต่อลักษณะทางศิลปะกันลงมาไม่ขาดสายจึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าชาวตะวันออกซึ่งประกอบด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ นั้น มีความเคารพนับถือในขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองยิ่งกว่าชีวิต ทำให้ศิลปะของชาวตะวันออกมีลักษณะรูปแบบตนเอง “ ศิลปะประจำชาติ ” เด่นชัด และไม่ถือเอาความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นสำคัญ จึงสร้างสรรค์ศิลปะให้บังเกิดความงามที่เหนือขึ้นไปจากธรรมชาติตามรสนิยมและความรู้สึกของตน
ประวัติศาสตร์ศิลป์
ใบความรู้ที่ 2
ประวัติศาสตร์ศิลป์
ศิลปะไทย
ศิลปะไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ซึ่งคนไทยทั้งชาติต่างภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ความงดงามที่สืบทอดอันยาวนานมาตั้งแต่อดีต บ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น โดยมีพัฒนาการบนพื้นฐานของความเป็นไทย ลักษณะนิสัยที่อ่อนหวาน ละมุนละไม รักสวยรักงาม ที่มีมานานของสังคมไทย ทำให้ศิลปะไทยมีความประณีตอ่อนหวาน เป็นความงามอย่างวิจิตรอลังการที่ทุกคนได้เห็นต้องตื่นตา ตื่นใจ อย่างบอกไม่ถูก ลักษณะความงามนี้จึงได้กลายเป็นความรู้สึกทางสุนทรียภาพโดยเฉพาะคนไทย เมื่อเราได้สืบค้นความเป็นมาของสังคมไทย พบว่าวิถีชีวิตอยู่กันอย่างเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาก่อน ดังนั้น ความผูกพันของจิตใจจึงอยู่ที่ธรรมชาติแม่น้ำและพื้นดิน สิ่งหล่อหลอมเหล่านี้จึงเกิดบูรณาการเป็นความคิด ความเชื่อและประเพณีในท้องถิ่น แล้วถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมไทยอย่างงดงาม ที่สำคัญวัฒนธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอันเป็นที่ยอมรับในสังคมหนึ่ง ๆ ให้คนในสังคมนั้นได้รับรู้แล้วขยายไปในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่การสื่อสารทางวัฒนธรรมนั้นกระทำโดยผ่านสัญลักษณ์ และสัญลักษณ์นี้คือผลงานของมนุษย์นั้นเองที่เรียกว่า ศิลปะไทย
ปัจจุบันคำว่า "ศิลปะไทย" กำลังจะถูกลืมเมื่ออิทธิพลทางเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่สังคมเก่าของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกแห่งการสื่อสารได้ก้าวไปล้ำยุคมาก จนเกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยอดีต โลกใหม่ยุคปัจจุบันทำให้คนไทยมีความคิดห่างไกลตัวเองมากขึ้น และอิทธิพลดังกล่าวนี้ทำให้คนไทยลืมตัวเราเองมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งสับสนอยู่กับสังคมใหม่อย่างไม่รู้ตัว มีความวุ่นวายด้วยอำนาจแห่งวัฒนธรรมสื่อสารที่รีบ
เร่งรวดเร็วจนลืมความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเมื่อเราหันกลับมามองตัวเราเองใหม่ ทำให้ดูห่างไกลเกินกว่าจะกลับมาเรียนรู้ว่า พื้นฐานของชาติบ้านเมืองเดิมเรานั้น มีความเป็นมาหรือมีวัฒนธรรมอย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้เราลืมมองอดีตตัวเอง การมีวิถีชีวิตกับสังคมปัจจุบันจำเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามีปัจจุบันโดยไม่มีอดีต เราก็จะมีอนาคตที่คลอนแคลนไม่มั่นคง การดำเนินการนำเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนศิลปะในครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนการค้นหาอดีต โดยเราชาวศิลปะต้องการให้อนุชนได้มองเห็นถึง ความสำคัญของบรรพบุรุษ ผู้สร้างสรรค์ศิลปะไทย ให้เราทำหน้าที่สืบสานต่อไปในอนาคต
ประวัติศาสตร์ศิลป์
ศิลปะไทย
ศิลปะไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ซึ่งคนไทยทั้งชาติต่างภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ความงดงามที่สืบทอดอันยาวนานมาตั้งแต่อดีต บ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น โดยมีพัฒนาการบนพื้นฐานของความเป็นไทย ลักษณะนิสัยที่อ่อนหวาน ละมุนละไม รักสวยรักงาม ที่มีมานานของสังคมไทย ทำให้ศิลปะไทยมีความประณีตอ่อนหวาน เป็นความงามอย่างวิจิตรอลังการที่ทุกคนได้เห็นต้องตื่นตา ตื่นใจ อย่างบอกไม่ถูก ลักษณะความงามนี้จึงได้กลายเป็นความรู้สึกทางสุนทรียภาพโดยเฉพาะคนไทย เมื่อเราได้สืบค้นความเป็นมาของสังคมไทย พบว่าวิถีชีวิตอยู่กันอย่างเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาก่อน ดังนั้น ความผูกพันของจิตใจจึงอยู่ที่ธรรมชาติแม่น้ำและพื้นดิน สิ่งหล่อหลอมเหล่านี้จึงเกิดบูรณาการเป็นความคิด ความเชื่อและประเพณีในท้องถิ่น แล้วถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมไทยอย่างงดงาม ที่สำคัญวัฒนธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอันเป็นที่ยอมรับในสังคมหนึ่ง ๆ ให้คนในสังคมนั้นได้รับรู้แล้วขยายไปในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่การสื่อสารทางวัฒนธรรมนั้นกระทำโดยผ่านสัญลักษณ์ และสัญลักษณ์นี้คือผลงานของมนุษย์นั้นเองที่เรียกว่า ศิลปะไทย
ปัจจุบันคำว่า "ศิลปะไทย" กำลังจะถูกลืมเมื่ออิทธิพลทางเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่สังคมเก่าของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกแห่งการสื่อสารได้ก้าวไปล้ำยุคมาก จนเกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยอดีต โลกใหม่ยุคปัจจุบันทำให้คนไทยมีความคิดห่างไกลตัวเองมากขึ้น และอิทธิพลดังกล่าวนี้ทำให้คนไทยลืมตัวเราเองมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งสับสนอยู่กับสังคมใหม่อย่างไม่รู้ตัว มีความวุ่นวายด้วยอำนาจแห่งวัฒนธรรมสื่อสารที่รีบ
เร่งรวดเร็วจนลืมความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเมื่อเราหันกลับมามองตัวเราเองใหม่ ทำให้ดูห่างไกลเกินกว่าจะกลับมาเรียนรู้ว่า พื้นฐานของชาติบ้านเมืองเดิมเรานั้น มีความเป็นมาหรือมีวัฒนธรรมอย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้เราลืมมองอดีตตัวเอง การมีวิถีชีวิตกับสังคมปัจจุบันจำเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามีปัจจุบันโดยไม่มีอดีต เราก็จะมีอนาคตที่คลอนแคลนไม่มั่นคง การดำเนินการนำเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนศิลปะในครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนการค้นหาอดีต โดยเราชาวศิลปะต้องการให้อนุชนได้มองเห็นถึง ความสำคัญของบรรพบุรุษ ผู้สร้างสรรค์ศิลปะไทย ให้เราทำหน้าที่สืบสานต่อไปในอนาคต
ทัศนศิลป์
ใบความรู้ที่ 1
เรื่องทัศนศิลป์ ( Visual Art )
ศิลปะ และความเข้าใจ
ศิลปะ หมายถึง สิ่งที่สวยงาม เกิดความบันเทิงเมื่อพบเห็น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ ศิลปะ ตามความเข้าใจของศิลปินผู้สร้างสรรค์งาน หมายถึง ศิลปะที่สื่อความหมาย
ดังนั้น สรุปได้ว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะศิลปะมีการถ่ายทอดแตกต่างกัน ตามความคิดสร้างสรรค์และความถนัดของบุคคล แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้คือ
1) แบบเหมือนของจริง (Realistic Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดการเลียนแบบธรรมชาติ
2) แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ (Modulation Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอด และปรับแต่งให้สวยงาม
3) รูปแบบอิสระ ( Free Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดศิลปะไร้รูปลักษณ์ ซึ่งการรับรู้เรื่องราวของศิลปะประเภทนี้ ต้องดูที่ชื่อภาพ ความงามของสี การจัดองค์ประกอบ จังหวะ ลีลาของเส้น เป็นต้น
วัสดุ และการสร้างงานศิลปะ
1) สีอะครีลิค ( Acrylic Color) สามารถเขียนแบบสีน้ำมันหรือสีน้ำได้ ราคาแพงแต่มีคุณภาพดี สี
สดใส
2) สีจากโมเสก (Mosaic) เป็นสีจากหินขนาดเล็กเรียงเป็นภาพ ดัดแปลงรูปเหลี่ยมชิ้นเล็กๆ ใช้
ประดับฝาผนัง
3) ดินสอสีระบายน้ำ ระบายแบบดินสอสี สามารถใช้น้ำตามลงไป ทำให้สีเรียบแบบสีน้ำ
ประเภทของศิลปะ
ผลงานศิลปะที่ปรากฏอยู่ตราบจนทุกวันนี้ มีมากมายหลายประเภท นักวิชาการศิลปะแบ่งศิลปะ
ออกเป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ วิจิตรศิลป์ (Fine art) และประยุกต์ศิลป์ (Applied art)
1. วิจิตรศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยสติปัญญา ความรู้สึกอันประณีตละเอียด
อ่อน โดยมุ่งให้เกิดความรู้สึก มีจินตนาการ สร้างเสริมสติปัญญามากกว่าประโยชน์ใช้สอย ผลงานประเภทวิจิตรศิลป์นี้จะให้คุณค่าทางด้านสุนทรียะที่สะเทือนอารมณ์แก่ผู้ชมหรือผู้ที่ได้สัมผัสรับรู้ ผลงานวิจิตรศิลป์สามารถจำแนกออกได้เป็น 5 แขนง คือ
1. จิตรกรรม ( Painting)
2. ประติมากรรม (Scuipture)
3. สถาปัตยกรรม (Architecture)
4. วรรณกรรม (Literature)
5. ดนตรีและนาฏศิลป์ ( Music & Drama)
ศิลปะประเภท วิจิตรศิลป์ทั้ง 5 ที่กล่าวมายังแบ่งออกเป็นสาขาใหญ่ๆ ได้ 2 สาขา
ทัศนศิลป์ (Visual art) ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม
จินตศิลป์ (Imaginative art) ได้แก่ วรรณกรรม ดนตรี และนาฏศิลป์
2. ประยุกต์ศิลป์ หมายถึง การนำศิลปะไปประยุกต์สร้างสรรค์ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นงานศิลปะที่มุ่งประโยชน์ใช้สอย แต่ยังคงค่าทางความงามอยู่ผลงานประเภทประยุกต์ศิลป์ได้แก่ หัตถศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พานิชยศิลป์ มัณฑนศิลป์ นิเทศศิลป์ เคหะศิลป์ ประณีตศิลป์ เป็นต้น
จากที่กล่าวมา จะเห็นว่าผลงานศิลปะทั้งวิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ ล้วนแต่เป็นผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ของมนุษย์ คิดค้นปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ชีวิตมีสุทรียะ ตลอดจนสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของสังคม
1. ศิลปะกับชีวิตประจำวัน
ศิลปะเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยมนุษย์ และเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งปรุงแต่งอารมณ์ที่เป็นที่ยอม
รับของสังคม สรุปโดยรวมได้ดังนี้ คือ
1) ศิลปะบอกอารมณ์ความรู้ที่งดงามของมนุษย์
2) ศิลปะแต่งความคิดให้มีคุณค่าและได้รับการยอมรับ
3) ศิลปะช่วยให้วัตถุ เครื่องใช้ เครื่องบริโภค น่าชม น่าใช้ และน่าบริโภค
4) ศิลปะเพื่อตกแต่งร่างกายของมนุษย์
5) ศิลปะใช้ตกแต่งสภาพแวดล้อม
2. คุณค่าทางภูมิปัญญาไทย
ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวันคุณค่าใช้สอยเป็นอันดับแรก และรองลง
มา คือ คุณค่าทางความงาม ดังนั้น ศิลปะจึงเป็นภูมิปัญญาที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ศิลปะพื้นเมือง จึงหมายถึง สิ่งที่ชาวชนบทสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รูปทรงเรียบง่าย สวยงามตามลักษณะท้องถิ่น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดศิลปะพื้นบ้าน
1) ฐานะทางเศรษฐกิจยากจนไม่มีเงินซื้อเครื่องจักรกลมาใช้ จึงใช้ทรัพยากรธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงาน
2) ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ส่วนใหญ่เกิดจากการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
3) การแสดงออกด้วยความงาม
ช่างที่สร้างงานศิลปะพื้นบ้าน
1) ช่างฝีมือ หมายถึง ช่างหัตถกรรมต่างๆ ทำสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
2) ช่างศิลป์ หมายถึง ช่างทอผ้า ช่างปั้น ช่างหล่อ เครื่องถม เครื่องเขิน ฯ
ประเภทของศิลปะพื้นบ้าน
1) แบ่งตามวัสดุ (งานไม้ / งานโลหะ / งานผ้า)
2) แบ่งตามวิธีการสร้าง (จักสาน / การปั้นดินเผา)
3) แบ่งประเภทประโยชน์ใช้สอย (ใส่ของ จับหรือดักสัตว์สัตว์ อาวุธ การแต่งกาย เครื่องเรือน ปูลาด ของเล่น)
ลักษณะศิลปะพื้นบ้าน
1) สร้างขึ้นเองในท้องถิ่น
2) ใช้วัสดุธรรมชาติ หาง่ายในท้องถิ่น
3) ทำด้วยมือ กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน
คุณค่าศิลปะพื้นบ้าน
1) งานศิลปะพื้นบ้านแสดงถึงภูมิปัญญาไทยระดับท้องถิ่น
2) ศิลปะสามารถผลิตเป็นสื่อวัสดุเกิดประโยชน์ในวิถีชีวิต
3) เป็นหลักฐานทางวิชาการ
4) เป็นมรดกของชาติไทย
6. คุณค่าทางศิลปะ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
6.1 คุณค่าทางเรื่องราว
2.2 คุณค่าทางรูปทรง
6.1 คุณค่าทางเรื่องราว หมายถึง คติความเชื่อ ความหมายที่แฝงอยุ่ในผลงานศิลปะเป็นการบอ
เล่าเนื้อหาและสาระสำคัญที่นักสร้างงานศิลปะ ต้องการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในแง่ ต่าง ๆของศิลปกรรมนั้น ๆ คุณค่าทางเรื่องราวทางทัศนศิลปะสรุปได้ดังนี้ คือ
- เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา
- เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
- เรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
- เรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี
- เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคน
2.3 คุณค่าทางรูปทรง หมายถึง เกณฑ์ความงดงามที่มีอยู่ในศิลปะ เป็นการประสานกันของ
องค์ประกอบทางความงามที่สามารุรับรู้ได้ด้วยสายตาที่ผู้สร้างผลงานศิลปะ จินตนาการ และออกแบบขึ้นด้วยความชำนาญ ส่วนประกอบที่ทำให้เกิดความงามของทัศนศิลป์ (ทัศนธาตุ) มี 6 ประการ คือ
2.3.1 เส้น (Line)
2.3.2 รูปร่าง รูปทรง ( Shape & Form)
2.3.3 จังหวะและช่องไฟ ( Phythm & Space)
2.3.4 น้ำหนัก ( Tone )
2.3.5 สี ( Color )
2.3.6 พื้นผิว ( Texture)
6.21.เส้น (Line) หมายถึง การต่อกันของจุดที่นำไปใช้ในการแสดงของเขตและส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ในภาพ ประกอบด้วย เส้นตั้ง เส้นนอน เส้นเฉียง เส้นโค้ง เส้นหยัก เส้นขด เส้นแต่ละชนิดจะให้ความรู้สึก การรับรู้ต่างกัน
6.2.2 รูปร่าง รูปทรง ( Shape & Form)
- รูปร่าง หมายถึง การต่อกันของเส้นตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป และสิ่งที่แสดงขอบเขตรอบนอกของวัตถุ สิ่งของต่างๆ มีลักษณะเป็น 2 มิติ แสดงความกว้างและความยาว รูปร่างมักรวมอยู่กับรูปทรง และเรียกควบคู่กัน
- รูปทรง หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะ 3 มิติ แสดงความกว้าง ความยาว และความหนาในทางศิลปะมีความหมายรวมไปถึงความหนาอันเกิดจากแสง – เงา และน้ำหนักสีบนผิวหน้าของงานจิตรกรรมด้วย
6.2.3 จังหวะและช่องไฟ ( Phythm & Space) หมายถึง ความเหมาะสมกลมกลืนในการจัดวางรูปและพื้นผิว
6.2.4 น้ำหนัก (Tone) มายถึง ความเข้มของสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ และไกล โดยปกติน้ำหนักของสีจะเทียบเป็นสีขาว – ดำ น้ำหนัก น้อยสุดจะเป็นสีขาว แล้วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เป็น 7 ระยะจึงเป็นดำซึ่งเป็นที่สุด
6.2.5 สี (Color ) หมายถึง ความเข้มที่ปรากฏแก่ตา ในทางวัตถุสีมีลักษณะเป็นสสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถทา ระบาย ย้อม ฉาบ เปลี่ยนสีผิวหน้าวัตถุให้เป็นอย่างใหม่ได้
6.2.6 พื้นผิว ( Texture) หมายถึง พื้นนอกของวัตถุ สิ่งของที่แสดงความขรุขระทางการมองเห็น
การชื่นชมความงามของทัศนศิลป์ทางด้านรูปแบบ จึงจำเป็นต้องมองจากส่วนประกอบทั้ง 6 ประกอบ ในทำนองกลับกัน หากต้องสร้างผลงานทัศนศิลป์ จำเป็นต้องนำส่วนประกอบทั้ง 6 นี้ มาออกแบบเข้ากันด้วย
เรื่องทัศนศิลป์ ( Visual Art )
ศิลปะ และความเข้าใจ
ศิลปะ หมายถึง สิ่งที่สวยงาม เกิดความบันเทิงเมื่อพบเห็น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ ศิลปะ ตามความเข้าใจของศิลปินผู้สร้างสรรค์งาน หมายถึง ศิลปะที่สื่อความหมาย
ดังนั้น สรุปได้ว่า ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะศิลปะมีการถ่ายทอดแตกต่างกัน ตามความคิดสร้างสรรค์และความถนัดของบุคคล แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้คือ
1) แบบเหมือนของจริง (Realistic Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดการเลียนแบบธรรมชาติ
2) แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ (Modulation Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอด และปรับแต่งให้สวยงาม
3) รูปแบบอิสระ ( Free Style) ลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดศิลปะไร้รูปลักษณ์ ซึ่งการรับรู้เรื่องราวของศิลปะประเภทนี้ ต้องดูที่ชื่อภาพ ความงามของสี การจัดองค์ประกอบ จังหวะ ลีลาของเส้น เป็นต้น
วัสดุ และการสร้างงานศิลปะ
1) สีอะครีลิค ( Acrylic Color) สามารถเขียนแบบสีน้ำมันหรือสีน้ำได้ ราคาแพงแต่มีคุณภาพดี สี
สดใส
2) สีจากโมเสก (Mosaic) เป็นสีจากหินขนาดเล็กเรียงเป็นภาพ ดัดแปลงรูปเหลี่ยมชิ้นเล็กๆ ใช้
ประดับฝาผนัง
3) ดินสอสีระบายน้ำ ระบายแบบดินสอสี สามารถใช้น้ำตามลงไป ทำให้สีเรียบแบบสีน้ำ
ประเภทของศิลปะ
ผลงานศิลปะที่ปรากฏอยู่ตราบจนทุกวันนี้ มีมากมายหลายประเภท นักวิชาการศิลปะแบ่งศิลปะ
ออกเป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ วิจิตรศิลป์ (Fine art) และประยุกต์ศิลป์ (Applied art)
1. วิจิตรศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยสติปัญญา ความรู้สึกอันประณีตละเอียด
อ่อน โดยมุ่งให้เกิดความรู้สึก มีจินตนาการ สร้างเสริมสติปัญญามากกว่าประโยชน์ใช้สอย ผลงานประเภทวิจิตรศิลป์นี้จะให้คุณค่าทางด้านสุนทรียะที่สะเทือนอารมณ์แก่ผู้ชมหรือผู้ที่ได้สัมผัสรับรู้ ผลงานวิจิตรศิลป์สามารถจำแนกออกได้เป็น 5 แขนง คือ
1. จิตรกรรม ( Painting)
2. ประติมากรรม (Scuipture)
3. สถาปัตยกรรม (Architecture)
4. วรรณกรรม (Literature)
5. ดนตรีและนาฏศิลป์ ( Music & Drama)
ศิลปะประเภท วิจิตรศิลป์ทั้ง 5 ที่กล่าวมายังแบ่งออกเป็นสาขาใหญ่ๆ ได้ 2 สาขา
ทัศนศิลป์ (Visual art) ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม
จินตศิลป์ (Imaginative art) ได้แก่ วรรณกรรม ดนตรี และนาฏศิลป์
2. ประยุกต์ศิลป์ หมายถึง การนำศิลปะไปประยุกต์สร้างสรรค์ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นงานศิลปะที่มุ่งประโยชน์ใช้สอย แต่ยังคงค่าทางความงามอยู่ผลงานประเภทประยุกต์ศิลป์ได้แก่ หัตถศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พานิชยศิลป์ มัณฑนศิลป์ นิเทศศิลป์ เคหะศิลป์ ประณีตศิลป์ เป็นต้น
จากที่กล่าวมา จะเห็นว่าผลงานศิลปะทั้งวิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ ล้วนแต่เป็นผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ของมนุษย์ คิดค้นปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ชีวิตมีสุทรียะ ตลอดจนสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของสังคม
1. ศิลปะกับชีวิตประจำวัน
ศิลปะเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยมนุษย์ และเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งปรุงแต่งอารมณ์ที่เป็นที่ยอม
รับของสังคม สรุปโดยรวมได้ดังนี้ คือ
1) ศิลปะบอกอารมณ์ความรู้ที่งดงามของมนุษย์
2) ศิลปะแต่งความคิดให้มีคุณค่าและได้รับการยอมรับ
3) ศิลปะช่วยให้วัตถุ เครื่องใช้ เครื่องบริโภค น่าชม น่าใช้ และน่าบริโภค
4) ศิลปะเพื่อตกแต่งร่างกายของมนุษย์
5) ศิลปะใช้ตกแต่งสภาพแวดล้อม
2. คุณค่าทางภูมิปัญญาไทย
ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวันคุณค่าใช้สอยเป็นอันดับแรก และรองลง
มา คือ คุณค่าทางความงาม ดังนั้น ศิลปะจึงเป็นภูมิปัญญาที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ศิลปะพื้นเมือง จึงหมายถึง สิ่งที่ชาวชนบทสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รูปทรงเรียบง่าย สวยงามตามลักษณะท้องถิ่น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดศิลปะพื้นบ้าน
1) ฐานะทางเศรษฐกิจยากจนไม่มีเงินซื้อเครื่องจักรกลมาใช้ จึงใช้ทรัพยากรธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงาน
2) ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ส่วนใหญ่เกิดจากการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
3) การแสดงออกด้วยความงาม
ช่างที่สร้างงานศิลปะพื้นบ้าน
1) ช่างฝีมือ หมายถึง ช่างหัตถกรรมต่างๆ ทำสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
2) ช่างศิลป์ หมายถึง ช่างทอผ้า ช่างปั้น ช่างหล่อ เครื่องถม เครื่องเขิน ฯ
ประเภทของศิลปะพื้นบ้าน
1) แบ่งตามวัสดุ (งานไม้ / งานโลหะ / งานผ้า)
2) แบ่งตามวิธีการสร้าง (จักสาน / การปั้นดินเผา)
3) แบ่งประเภทประโยชน์ใช้สอย (ใส่ของ จับหรือดักสัตว์สัตว์ อาวุธ การแต่งกาย เครื่องเรือน ปูลาด ของเล่น)
ลักษณะศิลปะพื้นบ้าน
1) สร้างขึ้นเองในท้องถิ่น
2) ใช้วัสดุธรรมชาติ หาง่ายในท้องถิ่น
3) ทำด้วยมือ กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน
คุณค่าศิลปะพื้นบ้าน
1) งานศิลปะพื้นบ้านแสดงถึงภูมิปัญญาไทยระดับท้องถิ่น
2) ศิลปะสามารถผลิตเป็นสื่อวัสดุเกิดประโยชน์ในวิถีชีวิต
3) เป็นหลักฐานทางวิชาการ
4) เป็นมรดกของชาติไทย
6. คุณค่าทางศิลปะ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
6.1 คุณค่าทางเรื่องราว
2.2 คุณค่าทางรูปทรง
6.1 คุณค่าทางเรื่องราว หมายถึง คติความเชื่อ ความหมายที่แฝงอยุ่ในผลงานศิลปะเป็นการบอ
เล่าเนื้อหาและสาระสำคัญที่นักสร้างงานศิลปะ ต้องการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในแง่ ต่าง ๆของศิลปกรรมนั้น ๆ คุณค่าทางเรื่องราวทางทัศนศิลปะสรุปได้ดังนี้ คือ
- เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา
- เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
- เรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
- เรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี
- เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคน
2.3 คุณค่าทางรูปทรง หมายถึง เกณฑ์ความงดงามที่มีอยู่ในศิลปะ เป็นการประสานกันของ
องค์ประกอบทางความงามที่สามารุรับรู้ได้ด้วยสายตาที่ผู้สร้างผลงานศิลปะ จินตนาการ และออกแบบขึ้นด้วยความชำนาญ ส่วนประกอบที่ทำให้เกิดความงามของทัศนศิลป์ (ทัศนธาตุ) มี 6 ประการ คือ
2.3.1 เส้น (Line)
2.3.2 รูปร่าง รูปทรง ( Shape & Form)
2.3.3 จังหวะและช่องไฟ ( Phythm & Space)
2.3.4 น้ำหนัก ( Tone )
2.3.5 สี ( Color )
2.3.6 พื้นผิว ( Texture)
6.21.เส้น (Line) หมายถึง การต่อกันของจุดที่นำไปใช้ในการแสดงของเขตและส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ในภาพ ประกอบด้วย เส้นตั้ง เส้นนอน เส้นเฉียง เส้นโค้ง เส้นหยัก เส้นขด เส้นแต่ละชนิดจะให้ความรู้สึก การรับรู้ต่างกัน
6.2.2 รูปร่าง รูปทรง ( Shape & Form)
- รูปร่าง หมายถึง การต่อกันของเส้นตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป และสิ่งที่แสดงขอบเขตรอบนอกของวัตถุ สิ่งของต่างๆ มีลักษณะเป็น 2 มิติ แสดงความกว้างและความยาว รูปร่างมักรวมอยู่กับรูปทรง และเรียกควบคู่กัน
- รูปทรง หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะ 3 มิติ แสดงความกว้าง ความยาว และความหนาในทางศิลปะมีความหมายรวมไปถึงความหนาอันเกิดจากแสง – เงา และน้ำหนักสีบนผิวหน้าของงานจิตรกรรมด้วย
6.2.3 จังหวะและช่องไฟ ( Phythm & Space) หมายถึง ความเหมาะสมกลมกลืนในการจัดวางรูปและพื้นผิว
6.2.4 น้ำหนัก (Tone) มายถึง ความเข้มของสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ และไกล โดยปกติน้ำหนักของสีจะเทียบเป็นสีขาว – ดำ น้ำหนัก น้อยสุดจะเป็นสีขาว แล้วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เป็น 7 ระยะจึงเป็นดำซึ่งเป็นที่สุด
6.2.5 สี (Color ) หมายถึง ความเข้มที่ปรากฏแก่ตา ในทางวัตถุสีมีลักษณะเป็นสสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถทา ระบาย ย้อม ฉาบ เปลี่ยนสีผิวหน้าวัตถุให้เป็นอย่างใหม่ได้
6.2.6 พื้นผิว ( Texture) หมายถึง พื้นนอกของวัตถุ สิ่งของที่แสดงความขรุขระทางการมองเห็น
การชื่นชมความงามของทัศนศิลป์ทางด้านรูปแบบ จึงจำเป็นต้องมองจากส่วนประกอบทั้ง 6 ประกอบ ในทำนองกลับกัน หากต้องสร้างผลงานทัศนศิลป์ จำเป็นต้องนำส่วนประกอบทั้ง 6 นี้ มาออกแบบเข้ากันด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)